สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
สำหรับปี 2566 ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับบริษัท ด้วยภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศภายหลังวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะนี้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้แนวโน้มการท่องเที่ยวแข็งแกร่งขึ้น และคาดว่ากลับมาเท่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงก่อนการเกิดการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังมีการแข่งขันสูง และยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่ออำนาจการจับจ่ายของลูกค้าทั่วไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในปีนี้บริษัทสามารถก้าวเดินได้อย่างแข็งแกร่งภายใต้ 3 กุญแจสำคัญ คือ “Continue/Connect/Contribute” “Continue : มุ่งมั่นขยายอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง Connect : เชื่อมต่อการเติบโตในธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้แข็งแกร่งครอบคลุมทำเลใหม่และผนึกกำลังบริษัทพันธมิตรในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ พร้อมส่งสัญญาณบวกในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และ Contribute : เดินหน้าทำธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “GrowGreen” โดยเริ่มต้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสร้าง Ecosystem ที่เกื้อหนุนให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในแง่ของการพักอาศัย สิ่งแวดล้อมและสังคม
ในแง่ธุรกิจหลัก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง (Real Demand) ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งสอดรับกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของแอสเซทไวส์ที่มุ่งเน้นตลาดคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์คนทำงานในเมือง (City Condo) ที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง และตลาดคอนโดฯ รอบสถานศึกษา (Campus Condo) ที่มีความต้องการสูง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,260 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้เดิม 12 โครงการ และสามารถทำยอดขายปี 2566 ได้ถึง 16,486 ล้านบาท สูงทะลุเป้าที่วางไว้ ซึ่งเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทได้เข้าลงทุนครั้งสำคัญ จากการเล็งเห็นโอกาสใหม่ที่ท้าทายและจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างแข็งแกร่ง กล่าวคือ การเข้าลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE โดยแอสเซทไวส์ถือหุ้น 67.61% ถือเป็น Good Timing (เวลาที่ดี) Good Deal (ข้อตกลงที่ดี) และ Good Company (บริษัทที่ดี) ทั้งแอสเซทไวส์ และ TITLE มี DNA ที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีใจรักในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มี Passion ในการพัฒนาโครงการที่ดี ใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบ ควบคุมต้นทุนได้ดี ในขณะเดียวกันก็ได้รับการยอมรับอย่างมากในคุณภาพการก่อสร้าง และมีบริการหลังการขายที่ดี อันจะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อไปในอนาคต ซึ่งล่าสุดได้เปิดขายโครงการ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างดีเยี่ยมสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ THE TITLE และเพื่อต่อยอดความสำเร็จ ในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท โครงการ“เดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท และ เดอะ ไทเทิล ราไวย์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท
ดังที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีที่แอสเซทไวส์ได้เติบโตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศตามวิสัยทัศน์ของบริษัท โดยนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บริษัทตั้งใจสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า รวมถึงใส่ใจในการดำเนินธุรกิจร่วมกับคู่ค้าของเราเป็นอย่างดีภายใต้แนวคิด “We Build Happiness” และยังคงดำเนินตามปณิธานที่ตั้งมั่นไว้เสมอ
ท้ายที่สุดนี้ ในนามของบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนลูกค้าทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนบริษัทอย่างดียิ่งตลอดมา และที่สำคัญขอขอบคุณคณะผู้บริหารและพนักงานของบริษัททุกท่าน สำหรับความทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทด้วยดีเสมอมา บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน