การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

นโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัทดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการของธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจะบริษัท ได้มีส่วนในการช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจและสิ่งแวดล้อมให้ควบคู่กันได้ โดยได้ตั้งเป้าหมายสิ่งแวดล้อมของบริษัทให้สอดกับเป้าหมายของประเทศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ในปี 2030 Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065

บริษัท ได้กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Grow Green ของบริษัท ซึ่งกำหนดปณิธานไว้ว่า
ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
การจัดการพลังงานภายในโครงการก่อสร้างของกลุ่มบริษัท

ในระหว่างการก่อสร้างจะต้องขอใช้บริการไฟฟ้า โดยโครงการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้ในกิจกรรมการก่อสร้าง เพื่อให้โครงการในช่วงก่อสร้างได้มีไฟฟ้าใช้ได้อย่างเพียงพอและไม่ส่งผลกระทบที่มีนัยสำคัญด้านระบบไฟฟ้าต่อชุมชนใกล้เคียง
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้มีการใช้ไฟฟ้าในการก่อสร้างโครงการอย่างประหยัด
- จัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยควบคุมตรวจสอบระบบไฟฟ้าระหว่างปฏิบัติงาน
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ตรวจสอบสายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอย่างเสมอ และซ่อมแซมทันทีเมื่อพบว่าชำรุดเสียหาย ตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
การจัดการพลังงานภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
1. การติดตั้งระบบไฟฟ้า
การติดตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่างจะใช้หลอด Light Emitting Diode (LED) เพื่อประหยัดไฟฟ้าภายในโครงการ ทั้งนี้ได้จัดให้มีพนักงานโครงการสำหรับดูแลระบบไฟฟ้าภายในโครงการ หากพบสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจะต้องประสานงานกับการไฟฟ้าเพื่อเข้ามาแก้ไขทันที


2. การอนุรักษ์พลังงาน
กำหนดให้มีมาตรการอนุรักษ์พลังงาน 2 ส่วน ดังนี้
- การออกแบบโครงการให้สอดคล้องกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552 และต้องออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน
- จัดให้มีคู่มือการอนุรักษ์พลังงานแจกสำหรับห้องชุดพักอาศัยทุกห้อง หรือติดป้าย เพื่อรณรงค์ให้ผู้พักอาศัยมาตรการการอนุรักษ์พลังงาน
นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการตรวจสอบถึงเครื่องหมายแสดงประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศส่วนกลาง และเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
3. ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
กลุ่มบริษัทได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วในโครงการต่างๆ ของบริษัท ดังนี้
-
โครงการมิงเกิ้ล มอลล์ เคฟ ทียู (Mingle Mall ) ติดตั้งแผงโซลาร์(Solar Rooftop) พื้นที่ 724 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน ธ.ค. 2564
ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้
150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ -
โครงการเคฟ ทียู (Kave TU) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) พื้นที่ 864 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน เม.ย. 2565
ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้
178 กิโลวัตต์ โดยประมาณ -
โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) ขนาดพื้นที่ 969 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน มิถุนายน 2565
ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้
150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ

4. ส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพื่อพลังงานที่สะอาด
กลุ่มบริษัทร่วมมือกับ “ฮ้อปคาร์” (Haupcar) ผู้ให้บริการคาร์แชร์ริ่ง หรือบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า เพื่อพลังงานที่สะอาด ในการสร้างจุดบริการเช่ารถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน HAUP บนสมาร์ทโฟนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้กับลูกค้าในโครงการ Kave Town Space โครงการ Mingle Mall


การจัดการพลังงานภายในสำนักงานใหญ่
รณรงค์การประหยัดพลังงาน โดยผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในองค์กรเพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบคุมการใช้พลังงานทั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่าง และระบบปรับอากาศให้เป็นเวลาและเท่าที่จำเป็นในบางพื้นที่ของสำนักงาน การเปลี่ยนใช้หลอดไฟ LED ทั่วภายในสำนักงาน การกำหนดให้มีแผนงานการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของระบบไฟฟ้า เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานอย่างสูงสุด
นอกจากนี้ บนด่านฟ้าที่อาคารสำนักงานใหญ่ ได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop System) บนพื้นที่ 153.9 ตารางเมตร ขนาด 32 กิโลวัตต์ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในพื้นที่สำนักงานทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้าปกติ
การจัดการน้ำภายในโครงการก่อสร้างของกลุ่มบริษัท

น้ำเสียในช่วงการก่อสร้าง ทางโครงการจะต้องบำบัดน้ำเสียให้มีค่า BOD ตามมาตรฐานก่อนระบายออกสู่ภายนอกโครงการต่อไป ซึ่งโครงการจะต้องกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป ที่ออกแบบให้สามารถรองรับน้ำเสียให้เพียงพอต่อปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากคนงานก่อสร้าง โดยระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าวสามารถบำบัดน้ำเสียให้มีค่า BOD ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดก่อนระบายออกสู่ภายนอกโครงการ
- จัดให้มีพนักงานดูแลระบบบำบัดน้ำเสียให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีการเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปแต่ละชุด โดยเก็บตัวอย่างก่อนและหลังผ่านการบำบัดน้ำเสียมาตรวจวิเคราะห์ตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
- จัดให้มีการจากปลายท่อก่อนระบายน้ำออกสู่ภายนอกโครงการมาตรวจวิเคราะห์
- ตรวจสอบโครงสร้างของระบบท่อของระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป
น้ำใช้ในช่วงการก่อสร้างโครงการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคของคนงาน และน้ำใช้เพื่อการก่อสร้างโครงการ ซึ่งโครงการต้องกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้น้ำในช่วงก่อสร้างต่อชุมชนโดยรอบ
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- รณรงค์ให้คนงานใช้น้ำอย่างประหยัด
- หลักจากก่อสร้างแล้วเสร็จต้องรื้อย้ายถังน้ำใช้สำเร็จรูปที่ติดตั้ง โดยก่อนรื้อย้ายต้องสูบน้ำที่เหลือภายในถังเก็บน้ำ ซึ่งน้ำในถังเก็บน้ำเป็นน้ำที่สะอาดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้นถนน เป็นต้น
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ตรวจสอบดูจุดรั่วซึมของระบบท่อน้ำ วาล์วต่างๆ ตลอดช่วงเวลาก่อสร้าง หากพบให้รีบแก้ไขทันที
- ตรวจสอบรอยรั่วซึมหรือรอยแตกของถังเก็บน้ำตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง หากพบให้รีบแก้ไข
- กำหนดให้มีการล้างทำความสะอาดถังเก็บน้ำและคราบสกปรกต่างๆ ตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
น้ำเสียจากโครงการก่อสร้างมาจากน้ำใช้จากห้องน้ำของคนงานก่อสร้าง โดยโครงการจะต้องบำบัดน้ำเสียให้มีค่า BOD ตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ก่อนระบายออกสู่ภายนอกโครงการ ซึ่งโครงการต้องกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีการดูแลทำความสะอาดห้องน้ำตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
- ตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำจากห้องน้ำ
- ภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จต้องทำการรื้อย้ายระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปที่ติดตั้ง โดยสูบสิ่งปฏิกูลออกพร้อมกับล้างทำความสะอาดภายในถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป โดยใช้วิธีเติมน้ำลงในถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปและสูบออกหลายๆ ครั้งก่อนทำการรื้อและย้าย
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ปฏิบัติตามมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม เรื่องคุณภาพน้ำ
การจัดการน้ำภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
การให้ความสำคัญกับการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำภายในโครงการซึ่งต้องกำหนดให้มีค่า BOD เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดก่อนระบายออกสู่ภายนอกโครงการ ซึ่งในแต่ละโครงการจัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อรองรับน้ำเสียจากการใช้งานภายในโครงการได้อย่างเพียงพอกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้มีความชำนาญดูแลรักษาและควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียของโครงการให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ พร้อมกำหนดแผนการดูแลบำรุงรักษา และตรวจสอบบ่อบำบัดน้ำเสียอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้เพื่อรองรับกรณีการเกิดโรคระบาดจึงได้จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีการฆ่าเชื้อโรคด้วยโอโซน รวมถึงได้มีการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ในการรดน้ำต้นไม้ภายในโครงการ

การจัดการน้ำภายในสำนักงานใหญ่
การควบคุมการใช้น้ำ เลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การตรวจสอบอุปกรณ์ประปาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์การประหยัดน้ำแก่พนักงาน เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อพนักงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร
การบริหารจัดการขยะ ของเสีย และมลพิษที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการของกลุ่มบริษัท

การจัดการมูลฝอย
มูลฝอยที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- มูลฝอยที่เกิดจากกิจกรรมการก่อสร้าง เช่น คอนกรีต เหล็ก อิฐ กระเบื้อง
- มูลฝอยที่เกิดจากกิจกรรมของคนงาน เช่น กระดาษ ถุงพลาสติก
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
1.มาตรการจัดการเศษวัสดุก่อสร้าง
- จัดให้มีภาชนะรองรับการทิ้งเศษวัสดุก่อสร้าง
- ตรวจสอบความสะอาดของที่ตั้งถังมูลฝอย พื้นที่พักขยะ
- ประสานกับบริษัทเอกชนเพื่อจัดเก็บมูลฝอยช่วงการก่อสร้างโครงการ เพื่อกำจัดต่อไป
2.มาตรการจัดการมูลฝอยจากคนงานก่อสร้าง
- จัดเตรียมถังรองรับมูลฝอยพร้อมฝาปิดบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง โดยแยกประเภทของถังมูลฝอย ได้แก่ มูลฝอยทั่วไป มูลฝอยย่อยสลายได้ มูลฝอยรีไซเคิล และมูลฝอยอันตราย รวมทั้งจัดให้มีที่พักมูลฝอยแบ่งแยกขยะตามประเภทมูลฝอยข้างต้น
- ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้คนงานทิ้งมูลฝอยลงในภาชนะรองรับที่ได้จัดเตรียมไว้ให้อย่างเคร่งครัด
- ตรวจสอบความสะอาดของที่ตั้งมูลฝอย พื้นที่พักขยะ
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ตรวจสอบที่พักมูลฝอยตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
- ตรวจสอบสภาพภาชนะรองรับมูลฝอยตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง เพื่อป้องกันแมลงและสัตว์พาหะนำโรคใช้เป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร กรณีพบว่าภาชนะรองรับมูลฝอยชำรุดเสียหายต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนภาชนะใหม่ใช้แทนตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
ฝุ่นละออง
กิจกรรมการก่อสร้างโครงการของกลุ่มบริษัทจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองภายในอากาศ ซึ่งกลุ่มบริษัทจะต้องมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบจากฝุ่นละอองจากกิจกรรมก่อสร้าง
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมการก่อสร้างที่มีการเปิดหน้าดินหรือปรับสภาพพื้นที่ในช่วงฤดูกาลที่มีปริมาณค่าฝุ่นละอองในอากาศสูง (เดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์) แต่หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมดังกล่าวต้องฉีดพรมน้ำตลอดที่ทำกิจกรรม และจัดให้มีการล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกจากพื้นที่
- จัดวางตำแหน่งเครื่องจักรและกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองให้อยู่ห่างจากบ้าน หรืออาคารที่อยู่ใกล้เคียงให้มากที่สุด
- จัดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำโดยรอบ และบริเวณที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง
- จัดให้มีการทำความสะอาดในพื้นที่ก่อสร้างและถนนบริเวณใกล้เคียง
- จัดให้มีพื้นที่ปิดเพื่อใช้ดำเนินงานที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง
- ตรวจสภาพการปล่อยไอเสียของเครื่องจักรที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล บำรุงรักษา/ซ่อมบำรุง/เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ลดการเกิดฝุ่นควันที่เกิดจากเครื่องยนต์
- จัดทำรั้วรอบพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปยังอาคารข้างเคียง
- ล้างล้อรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งดิน โดยใช้แรงดันน้ำสูงฉีดชะล้างทำความสะอาดล้อรถและช่วงล่างของรถบรรทุกบริเวณทางเข้า-ออกพื้นที่โครงการ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและโคลนที่ติดกับล้อรถ
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีการวัดปริมาณฝุ่นละอองภายในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ และบริเวณพื้นที่ข้างเคียงโครงการ
- จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามมาตรการที่ระบุไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
เสียง
เสียงที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการ เช่น ในกรณีที่มีการตอกเสาเข็ม จะต้องกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- กำหนดช่วงเวลาการก่อสร้างที่ทำให้เกิดเสียงดัง เช่น การทำเสาเข็ม การก่อสร้าง ฐานราก และงานโครงสร้าง ตามความเหมาะสม
- จัดให้มีแผ่นกันเสียงตามมาตรฐานในงานก่อสร้างแต่ละช่วงของการก่อสร้าง
- เลือกใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และวิธีก่อสร้างที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนน้อยที่สุด
- อุปกรณ์และเครื่องจักรกลที่มีการใช้งานเป็นครั้งคราว ให้ดับเครื่องหรือเบาเครื่องลงระหว่างพัก
- กำหนดให้โครงการต้องปฏิบัติงานโดยไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีการตรวจวัดระดับเสียงเฉลี่ยและระดับเสียงสูงสุด รวมทั้งเสียงรบกวนในพื้นที่ก่อสร้างโครงการและภายในพื้นที่ใกล้เคียงตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
- จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามมาตรการที่ระบุไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
การจัดการขยะภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
ในแต่ละโครงการจะจัดให้มีห้องพักขยะประจำชั้นพักอาศัย โดยภายในห้องพักขยะจะจัดให้มีถังขยะแยกประเภทขยะ ได้แก่ ถังขยะเปียก (ขยะย่อยสลายได้) ถังมูลฝอยทั่วไป (ขยะแห้ง) ถังขยะรีไซเคิล และถังขยะอันตราย เพื่อให้ผู้พักอาศัยมีการการคัดแยกขยะให้ถูกประเภทก่อนทิ้ง โดยการจัดให้มีถังขยะที่แบ่งสีตามประเภทของขยะ รวมถึงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้พักอาศัยคัดแยกขยะ และนำกลับมาใช้ซ้ำได้ในขยะบางประเภท เช่น ถุงพลาสติกหรือถุงกระดาษสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะของโครงการ ทั้งนี้ในการจัดเก็บขยะในโครงการจะจัดการคัดแยกขยะแต่ละประเภทใส่ในแต่ละถุง พร้อมติดฉลากบอกประเภทของขยะก่อนขนย้ายเพื่อสำหรับนำไปทิ้งต่อไป

นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการตรวจสอบถังขยะให้มีสภาพดีอยู่เสมอ หากพบว่ามีการผุกร่อนหรือชำรุดต้องดำเนินการแก้ไขทันที รวมทั้งมีการตรวจสอบปริมาณขยะที่อาจตกค้างบริเวณรอบถังขยะ และห้องพักขยะให้สะอาดอยู่เสมอ โดยทางผู้รับผิดชอบโครงการหรือนิติบุคคลจะต้องควบคุมให้มีการปฏิบัติตามมาตรการในการจัดการขยะที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
การจัดการขยะภายในสำนักงานใหญ่
1. Zero Landfill Station
การแยกขยะประเภทใหญ่ๆ เช่น ขยะรีไซเคิล ขยะที่ไม่นิยมนำไปรีไซเคิล และขยะเศษอาหาร โดยขยะแต่ละประเภทมีเส้นทางจัดการอย่างถูกวิธี สามารถนำไปรีไซเคิล แปลงเป็นพลังงาน นำไปเป็นอาหารของสัตว์หรือทำปุ๋ย ทำให้ไม่มีขยะเหลือทิ้งลงหลุมฝังกลบ ภายใต้ Concept “แยก-เท-คว่ำ”


2. ขยะอันตรายแลกโดนัท
บริษัทจัดกิจกรรม “ขยะอันตรายแลกโดนัท” ให้พนักงานรวบรวมขยะอันตราย เช่น กระป๋องสเปรย์ ยาหมดอายุ หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย เป็นต้น มาแลกเป็นโดนัทไปรับประทาน เป็นการช่วยรณรงค์ให้พนักงานมีจิตสำนึก และเห็นความอันตรายหากทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่น ๆ


3. Refill Station
การส่งเสริมการลดการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของพนักงาน โดยให้นำขวดมาเติมน้ำยาต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาซักผ้า และน้ำยาล้างมือ
การบริหารจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการของกลุ่มบริษัท
กลุ่มบริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาวะเรือนกระจก ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินงานทั้งภายในสำนักงานใหญ่ของบริษัท โดยส่วนใหญ่มาจากการใช้รถยนต์เดินทางของพนักงานและเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน และโครงการก่อสร้าง ซึ่ต้องได้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Impact Assessment Report (EIA) อย่างเคร่งครัดในทุกโครงการของบริษัท

มลพิษทางอากาศที่เกิดจากกิจกรรมการก่อสร้าง ส่วนมากเกิดจากก๊าซที่เกิดจากท่อไอเสียของรถขนส่งดินและวัสดุก่อสร้าง และเครื่องจักรกลต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพอากาศของพื้นที่ใกล้เคียงโครงการ ซึ่งมลพิษทางอากาศที่เกิดจากเครื่องจักรกลที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารโครงการมีดังนี้
- ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO)
- สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (HC)
- ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ (NO2)
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซต์ (SO2)
ทั้งนี้ปริมาณมลพิษทางอากาศจะต้องไม่เกิดค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด และโครงการจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบจากผลพิษทางอากาศจากกิจกรรมการก่อสร้าง
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
- ไม่ติดตั้งเครื่องยนต์ทิ้งไว้ขณะที่ไม่ได้ปฏิบัติงาน
- ตรวจสอบเครื่องยนต์ของรถที่ใช้ในการขนส่งดิน วัสดุก่อสร้าง และอื่นๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอเพื่อลดการเกิดมลพิษ
มาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
- จัดให้มีการตรวจวัดมลพิษทางอากาศ โดยกำหนดให้มีดัชนีตรวจวัด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO) สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (HC) ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ (NO2) และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซต์ (SO2) ภายในพื้นที่โครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงโครงการ
- จัดให้มีผู้ควบคุมงานก่อสร้างควบคุมผู้รับเหมาก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
ผลกระทบด้านคุณภาพอากาศที่ก่อให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจก ส่วนใหญ่เกิดจากการจารจรภายในโครงการ โดยเฉพาะที่จอดรถและทางวิ่งภายในโครงการซึ่งเกิดจากท่อไอเสียของรถยนต์ ได้แก่ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ (NO2) สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (HC) และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO) ทั้งนี้ทางโครงการจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ผู้พักอาศัยในโครงการไม่ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ภายในบริเวณที่จอดรถ รวมถึงการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ เพื่อให้ต้นไม้สามารถช่วยดูดซับก๊าซก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO)
การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกภายในสำนักงานใหญ่
บริษัทได้เข้าสู่องค์กร Carbon Neutral ภาคสมัครใจ โดยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากมติที่ประชุมคณะกรรมการองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 ซึ่งถือว่าบริษัทได้ให้ความสำคัญในการเข้ารับการตรวจประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และได้จัดหาคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
ประเมิน carbon footprint (สำนักงานใหญ่)
ขอบเขตการในการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
-
ขอบเขตที่ 1:
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งองค์กรเป็นตัวเจ้าของหรือควบคุมการดำเนินงานโดยองค์กร
-
ขอบเขตที่ 2:
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า
-
ขอบเขตที่ 3:
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
1,110
ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ซึ่งในปี 2565 บริษัทมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 1,110 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1) 204 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) 248 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (ขอบเขตที่ 3) 658ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
บริษัทยังมีมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการอบรมพนักงานให้ทราบถึงสถานการณ์ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถสื่อสารบุคคลภายนอกต่อได้ และมีมาตรการอื่น ๆ เช่น รณรงค์ประหยัดน้ำ เปิดใช้เท่าที่จำป็น รณรงค์ให้เปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ปิดไฟ 1 ชั่วโมงช่วงพักกลางวัน และปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางภายในสำนักงานใหญ่บางส่วนใช้ไฟจากพลังงานโซล่าเซลล์ เป็นต้น นอกจากนั้นในส่วนของการออกแบบอาคารยังมีการปลูกต้นไม้คลุมอาคาร และออกแบบอาคารให้มี Facade เพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคารเป็นการลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย


การเพิ่มพื้นที่สีเขียว
1. โครงการ Plant for the Planet
โครงการ “ Plant for the Planet ” ปลูกเพิ่มเพื่อลดอุณหภูมิ ภาระกิจกู้โลก โดยเชิญชวนให้มีเป้าหมายในการปลูกต้นไม้ 433 ต้น/คน* เพื่อชดเชยกับ CO2 ที่แต่ละคนทำให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยยับยั้งให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา
*คนไทยเฉลี่ยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3,900 กก/ปี, ต้นไม้(อายุ10ปี) ดูดซับ CO2 9 กก/ปี
2. นวัตกรรมในการบันทึกข้อมูลการปลูก
การพัฒนา Line Official ที่ชื่อว่า ASWGrowGreen เพื่อสร้างประสบการณ์การปลูกต้นไม้ในรูปแบบใหม่โดยมีการบันทึกการปลูกต้นไม้ โดยจะมีการระบุชื่อต้นไม้ สถานที่ปลูก วันที่ปลูก ตำแหน่งที่ปลูก

3. ศูนย์เพาะต้นกล้า
ทางบริษัทร่วมกับสวนกีฬารามอินทรา สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ได้จัดให้มีการเพาะต้นกล้าสำหรับเตรียมการปลูกป่าในปี 2566 โดยการเพาะเมล็ดต้นไม้ป่าที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้ กว่า 20 สายพันธุ์ เช่น พยุง ไม้แดง มะค่าแต้ ประดู่ โมกมัน เป็นต้น ผ่านกิจกรรมร่วมกับพนักงานและบุคคลทั่วไปที่สนใจ ณ สวนกีฬารามอินทรา จำนวน 5,000 ต้น


4. โครงการ Care the Wild
บริษัทร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โครงการ Care the Wild ปลูกป้อง Plant & Protect โดยบริษัทสนับสนุนกิจกรรมปลูก และฟื้นฟูป่า ณ ป่าชุมชนบ้านหลังเขา หมู่ที่ 6 ตำบลหนองกร่าง อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยแนวคิด “AssetWise Growgreen” ที่บริษัทตั้งใจในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งต่อแนวคิดให้ชุมชน เพื่อสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน สร้างระบบนิเวศที่สมดุล บรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน สร้างพื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งอาหารแก่ชุมชนในระยะยาว
