นโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม

บริษัทดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการของธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจะบริษัท ได้มีส่วนในการช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจและสิ่งแวดล้อมให้ควบคู่กันได้ โดยได้ตั้งเป้าหมายสิ่งแวดล้อมของบริษัทให้สอดกับเป้าหมายของประเทศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ในปี 2030 Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065

โครงการ Grow Green

บริษัท ได้กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Grow Green ของบริษัท ซึ่งกำหนดปณิธานไว้ว่า

“เพราะเราเชื่อว่าการกระทำของทุกคนส่งผลต่อโลกใบนี้ ASW จะมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ชีวิตและโลกดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน”
Green Space: การให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวในโครงการ
Energy Efficiency: ออกแบบการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
Waste Management: การบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน
Clean Air: ใส่ใจเรื่องการมีอากาศที่สะอาด
Water Management: ใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การจัดการพลังงานภายในโครงการก่อสร้างของกลุ่มบริษัท

การจัดการพลังงานภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ

1. การติดตั้งระบบไฟฟ้า

การติดตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่างจะใช้หลอด Light Emitting Diode (LED) เพื่อประหยัดไฟฟ้าภายในโครงการ ทั้งนี้ได้จัดให้มีพนักงานโครงการสำหรับดูแลระบบไฟฟ้าภายในโครงการ หากพบสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจะต้องประสานงานกับการไฟฟ้าเพื่อเข้ามาแก้ไขทันที

2. การอนุรักษ์พลังงาน

กำหนดให้มีมาตรการอนุรักษ์พลังงาน 2 ส่วน ดังนี้

  1. การออกแบบโครงการให้สอดคล้องกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552 และต้องออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน
  2. จัดให้มีคู่มือการอนุรักษ์พลังงานแจกสำหรับห้องชุดพักอาศัยทุกห้อง หรือติดป้าย เพื่อรณรงค์ให้ผู้พักอาศัยมาตรการการอนุรักษ์พลังงาน

นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการตรวจสอบถึงเครื่องหมายแสดงประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศส่วนกลาง และเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

3. ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

กลุ่มบริษัทได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วในโครงการต่างๆ ของบริษัท ดังนี้

  • โครงการมิงเกิ้ล มอลล์ เคฟ ทียู (Mingle Mall ) ติดตั้งแผงโซลาร์(Solar Rooftop) พื้นที่ 724 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน ธ.ค. 2564

    ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้

    150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
  • โครงการเคฟ ทียู (Kave TU) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) พื้นที่ 864 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน เม.ย. 2565

    ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้

    178 กิโลวัตต์ โดยประมาณ
  • โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop) ขนาดพื้นที่ 969 ตารางเมตร แล้วเสร็จเมื่อเดือน มิถุนายน 2565

    ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้

    150 กิโลวัตต์ โดยประมาณ

4. ส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพื่อพลังงานที่สะอาด

กลุ่มบริษัทร่วมมือกับ “ฮ้อปคาร์” (Haupcar) ผู้ให้บริการคาร์แชร์ริ่ง หรือบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า เพื่อพลังงานที่สะอาด ในการสร้างจุดบริการเช่ารถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน HAUP บนสมาร์ทโฟนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้กับลูกค้าในโครงการ Kave Town Space โครงการ Mingle Mall

การจัดการพลังงานภายในสำนักงานใหญ่

รณรงค์การประหยัดพลังงาน โดยผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในองค์กรเพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบคุมการใช้พลังงานทั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่าง และระบบปรับอากาศให้เป็นเวลาและเท่าที่จำเป็นในบางพื้นที่ของสำนักงาน การเปลี่ยนใช้หลอดไฟ LED ทั่วภายในสำนักงาน การกำหนดให้มีแผนงานการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของระบบไฟฟ้า เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ บนด่านฟ้าที่อาคารสำนักงานใหญ่ ได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ (Solar Rooftop System) บนพื้นที่ 153.9 ตารางเมตร ขนาด 32 กิโลวัตต์ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในพื้นที่สำนักงานทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้าปกติ

การจัดการน้ำภายในโครงการก่อสร้างของกลุ่มบริษัท

การจัดการน้ำภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ

การให้ความสำคัญกับการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำภายในโครงการซึ่งต้องกำหนดให้มีค่า BOD เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดก่อนระบายออกสู่ภายนอกโครงการ ซึ่งในแต่ละโครงการจัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อรองรับน้ำเสียจากการใช้งานภายในโครงการได้อย่างเพียงพอกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้มีความชำนาญดูแลรักษาและควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียของโครงการให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ พร้อมกำหนดแผนการดูแลบำรุงรักษา และตรวจสอบบ่อบำบัดน้ำเสียอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้เพื่อรองรับกรณีการเกิดโรคระบาดจึงได้จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีการฆ่าเชื้อโรคด้วยโอโซน รวมถึงได้มีการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ในการรดน้ำต้นไม้ภายในโครงการ

การจัดการน้ำภายในสำนักงานใหญ่

การควบคุมการใช้น้ำ เลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การตรวจสอบอุปกรณ์ประปาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์การประหยัดน้ำแก่พนักงาน เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อพนักงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร

การบริหารจัดการขยะ ของเสีย และมลพิษที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการของกลุ่มบริษัท

การจัดการขยะภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ

ในแต่ละโครงการจะจัดให้มีห้องพักขยะประจำชั้นพักอาศัย โดยภายในห้องพักขยะจะจัดให้มีถังขยะแยกประเภทขยะ ได้แก่ ถังขยะเปียก (ขยะย่อยสลายได้) ถังมูลฝอยทั่วไป (ขยะแห้ง) ถังขยะรีไซเคิล และถังขยะอันตราย เพื่อให้ผู้พักอาศัยมีการการคัดแยกขยะให้ถูกประเภทก่อนทิ้ง โดยการจัดให้มีถังขยะที่แบ่งสีตามประเภทของขยะ รวมถึงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้พักอาศัยคัดแยกขยะ และนำกลับมาใช้ซ้ำได้ในขยะบางประเภท เช่น ถุงพลาสติกหรือถุงกระดาษสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะของโครงการ ทั้งนี้ในการจัดเก็บขยะในโครงการจะจัดการคัดแยกขยะแต่ละประเภทใส่ในแต่ละถุง พร้อมติดฉลากบอกประเภทของขยะก่อนขนย้ายเพื่อสำหรับนำไปทิ้งต่อไป

นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการตรวจสอบถังขยะให้มีสภาพดีอยู่เสมอ หากพบว่ามีการผุกร่อนหรือชำรุดต้องดำเนินการแก้ไขทันที รวมทั้งมีการตรวจสอบปริมาณขยะที่อาจตกค้างบริเวณรอบถังขยะ และห้องพักขยะให้สะอาดอยู่เสมอ โดยทางผู้รับผิดชอบโครงการหรือนิติบุคคลจะต้องควบคุมให้มีการปฏิบัติตามมาตรการในการจัดการขยะที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

การจัดการขยะภายในสำนักงานใหญ่

1. Zero Landfill Station

การแยกขยะประเภทใหญ่ๆ เช่น ขยะรีไซเคิล ขยะที่ไม่นิยมนำไปรีไซเคิล และขยะเศษอาหาร โดยขยะแต่ละประเภทมีเส้นทางจัดการอย่างถูกวิธี สามารถนำไปรีไซเคิล แปลงเป็นพลังงาน นำไปเป็นอาหารของสัตว์หรือทำปุ๋ย ทำให้ไม่มีขยะเหลือทิ้งลงหลุมฝังกลบ ภายใต้ Concept “แยก-เท-คว่ำ”

2. ขยะอันตรายแลกโดนัท

บริษัทจัดกิจกรรม “ขยะอันตรายแลกโดนัท” ให้พนักงานรวบรวมขยะอันตราย เช่น กระป๋องสเปรย์ ยาหมดอายุ หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย เป็นต้น มาแลกเป็นโดนัทไปรับประทาน เป็นการช่วยรณรงค์ให้พนักงานมีจิตสำนึก และเห็นความอันตรายหากทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่น ๆ

3. Refill Station

การส่งเสริมการลดการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของพนักงาน โดยให้นำขวดมาเติมน้ำยาต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาซักผ้า และน้ำยาล้างมือ

การบริหารจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการของกลุ่มบริษัท

กลุ่มบริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาวะเรือนกระจก ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินงานทั้งภายในสำนักงานใหญ่ของบริษัท โดยส่วนใหญ่มาจากการใช้รถยนต์เดินทางของพนักงานและเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน และโครงการก่อสร้าง ซึ่ต้องได้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Impact Assessment Report (EIA) อย่างเคร่งครัดในทุกโครงการของบริษัท

การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกภายในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ

ผลกระทบด้านคุณภาพอากาศที่ก่อให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจก ส่วนใหญ่เกิดจากการจารจรภายในโครงการ โดยเฉพาะที่จอดรถและทางวิ่งภายในโครงการซึ่งเกิดจากท่อไอเสียของรถยนต์ ได้แก่ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ (NO2) สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (HC) และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO) ทั้งนี้ทางโครงการจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ผู้พักอาศัยในโครงการไม่ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ภายในบริเวณที่จอดรถ รวมถึงการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ เพื่อให้ต้นไม้สามารถช่วยดูดซับก๊าซก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ (CO)

การจัดการเพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกภายในสำนักงานใหญ่

บริษัทได้เข้าสู่องค์กร Carbon Neutral ภาคสมัครใจ โดยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากมติที่ประชุมคณะกรรมการองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 ซึ่งถือว่าบริษัทได้ให้ความสำคัญในการเข้ารับการตรวจประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และได้จัดหาคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์

ประเมิน carbon footprint (สำนักงานใหญ่)

ขอบเขตการในการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจก ดังนี้

  • ขอบเขตที่ 1:

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งองค์กรเป็นตัวเจ้าของหรือควบคุมการดำเนินงานโดยองค์กร

  • ขอบเขตที่ 2:

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า

  • ขอบเขตที่ 3:

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ

ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

1,110 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

1,110

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ซึ่งในปี 2565 บริษัทมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 1,110 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1) 204 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) 248 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (ขอบเขตที่ 3) 658ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

บริษัทยังมีมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการอบรมพนักงานให้ทราบถึงสถานการณ์ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถสื่อสารบุคคลภายนอกต่อได้ และมีมาตรการอื่น ๆ เช่น รณรงค์ประหยัดน้ำ เปิดใช้เท่าที่จำป็น รณรงค์ให้เปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ปิดไฟ 1 ชั่วโมงช่วงพักกลางวัน และปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางภายในสำนักงานใหญ่บางส่วนใช้ไฟจากพลังงานโซล่าเซลล์ เป็นต้น นอกจากนั้นในส่วนของการออกแบบอาคารยังมีการปลูกต้นไม้คลุมอาคาร และออกแบบอาคารให้มี Facade เพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคารเป็นการลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย

การเพิ่มพื้นที่สีเขียว

1. โครงการ Plant for the Planet

โครงการ “ Plant for the Planet ” ปลูกเพิ่มเพื่อลดอุณหภูมิ ภาระกิจกู้โลก โดยเชิญชวนให้มีเป้าหมายในการปลูกต้นไม้ 433 ต้น/คน* เพื่อชดเชยกับ CO2 ที่แต่ละคนทำให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยยับยั้งให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา

*คนไทยเฉลี่ยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3,900 กก/ปี, ต้นไม้(อายุ10ปี) ดูดซับ CO2 9 กก/ปี

2. นวัตกรรมในการบันทึกข้อมูลการปลูก

การพัฒนา Line Official ที่ชื่อว่า ASWGrowGreen เพื่อสร้างประสบการณ์การปลูกต้นไม้ในรูปแบบใหม่โดยมีการบันทึกการปลูกต้นไม้ โดยจะมีการระบุชื่อต้นไม้ สถานที่ปลูก วันที่ปลูก ตำแหน่งที่ปลูก

3. ศูนย์เพาะต้นกล้า

ทางบริษัทร่วมกับสวนกีฬารามอินทรา สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ได้จัดให้มีการเพาะต้นกล้าสำหรับเตรียมการปลูกป่าในปี 2566 โดยการเพาะเมล็ดต้นไม้ป่าที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้ กว่า 20 สายพันธุ์ เช่น พยุง ไม้แดง มะค่าแต้ ประดู่ โมกมัน เป็นต้น ผ่านกิจกรรมร่วมกับพนักงานและบุคคลทั่วไปที่สนใจ ณ สวนกีฬารามอินทรา จำนวน 5,000 ต้น

4. โครงการ Care the Wild

บริษัทร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โครงการ Care the Wild ปลูกป้อง Plant & Protect โดยบริษัทสนับสนุนกิจกรรมปลูก และฟื้นฟูป่า ณ ป่าชุมชนบ้านหลังเขา หมู่ที่ 6 ตำบลหนองกร่าง อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยแนวคิด “AssetWise Growgreen” ที่บริษัทตั้งใจในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งต่อแนวคิดให้ชุมชน เพื่อสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน สร้างระบบนิเวศที่สมดุล บรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน สร้างพื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งอาหารแก่ชุมชนในระยะยาว