สารจากประธานกรรมการบริษัท
ในปี 2566 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ท้าทายและน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับแอสเซทไวส์ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องจากยังถูกกดดันด้วยภาวะเงินเฟ้อจากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่เติบโตช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับเงินเฟ้อ รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะสงครามส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและพลังงานปรับตัวสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของประเทศไทยยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลงไปมาก ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในทุกภาคของประเทศและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียง หรือ สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 และยังได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว
ตลอด 18 ปีที่แอสเซทไวส์โลดแล่นอยู่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แอสเซทไวส์มุ่งมั่นในการสร้างสรรที่อยู่อาศัยในหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าทุกกลุ่มอยู่เสมอ และพร้อมคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสามารถสร้างการเติบโตให้บริษัทอย่างแข็งแกร่ง ดังจะเห็นว่า ในช่วงกลางปี 66 บริษัทเล็งเห็นโอกาสจากแนวโน้มการท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะใน จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นจุดหมายการพักอาศัยระดับโลก บริษัทจึงตัดสินใจขยายธุรกิจไปสู่จังหวัดภูเก็ต โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่ง TITLE เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตมายาวนานกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจตลาดภูเก็ตเป็นอย่างดี มีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ มีที่ดินในทำเลศักยภาพพร้อมพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท จะสามารถร่วมกันผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตให้เติบโต พร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และ TITLE ก็จะช่วยให้ช่องทางรับรู้รายได้ของแอสเซทไวส์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากความสำเร็จในด้านผลประกอบการแล้ว บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส คำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ในปีนี้บริษัทยังคงได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับ A รวมถึงได้รับการประเมินคะแนน CG อยู่ในระดับดีเลิศ หรือ 5 ดาว จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน จากสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และยังได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) 3,000-9,999 ล้านบาท อีกด้วย
สุดท้ายนี้ คณะกรรมการบริษัทยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อกำกับดูแลกลยุทธ์ ทิศทางธุรกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม ให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ว่า "เราจะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย” และเชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ตลอดจนพนักงาน ทุกคน ดังเช่นที่ผ่านมา และขอขอบคุณผู้มีส่วนได้ทุกฝ่ายมา ณ โอกาสนี้